วิตามินซี (Vitamin C : Ascorbic Acid)
วิตามินซี (Ascorbic Acid) จัดเป็นสารสำคัญที่มีผลต่อการทำงานหลายระบบของร่างกาย มีสรรพคุณหลายอย่าง อาทิ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด และช่วยป้องกันโรคตับ และโรคไต เป็นต้น ทั้งนี้ วิตามินซีเป็นสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ แต่มักไม่เพียงพอกับความต้องการจึงจำเป็นต้องได้รับเพิ่มจากแหล่งอื่น เช่น พืชผัก และผลไม้ต่างๆ
วิตามินซีในอาหารมี 2 รูปแบบ ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ คือ Ascorbic Acid และ Dehydroascorbic Acid (เมื่อ Ascorbic Acid เสียไฮโดรเจน 2 อะตอม) สามารถดูดซึมเข้าสู่ลำไส้ภายหลังจากรับประทาน 2-3 ชั่วโมง ผ่านเข้าสู่กระแสเลือด และเซลล์ในเนื้อเยื่อต่างๆ และบางส่วนที่เกินจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ในร่างกายพบวิตามินซีมากในอวัยวะที่มีเมตาบอลิซึมสูง เช่น ต่อมปิทูอิตารี ต่อมหมวกไต สมอง และตับ
คุณสมบัติทางเคมี – สูตรโมเลกุล C6H8O6 – น้ำหนักโมเลกุล 176.1 – จุดหลอมเหลว 192 องศาเซลเซียส – สถานะ : ผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น เมื่อสัมผัสน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีดำ – ละลายได้ดีในน้ำ และแอลกอฮอล์ ไม่ละลายในตัวทำละลาย เช่น ไขมัน โคโลฟอร์ม อีเทอร์ ปิโตรเลียมอีเทอร์ และเบนซีน เป็นต้น โลหะที่เป็นตัวกระตุ้นการละลายได้ดี ได้แก่ เหล็ก และทองแดง – ละลายน้ำ (อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส) ได้ความเข้มข้น 0.5 โมลาร์ – มีความคงตัวในสารละลายที่เป็นกรด แต่หากเป็นด่าง ความร้อน และออกซิเดชันเมื่อสัมผัสกับอากาศจะทำให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ง่าย – วิตามินซีสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะได้หลายชนิดกลายเป็นเกลือของวิตามินซี
หน้าที่ และสรรพคุณวิตามินซี 1. ทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์ ช่วยรักษาอนุมูลเหล็กของเอนไซม์ ทำให้เอนไซม์ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ
2. ช่วยสร้างคอลาเจนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก ฟัน และผนังเส้นเลือด โดยทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์โปรลีล ไฮดรอกซีเลส (Prolyl Hydroxylase) และไลซีล ไฮดรอกซีเลส (Lysyl Hydroxylase) ในปฏิกิริยาการสร้างคอลาเจน 3. วิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารแอนติออกซิเดนซ์ (Antioxidant) ช่วยป้องกันการหืนจากการเกิดอนุมูลอิสระในอาหารต่าง และทำหน้าที่เป็นสารต้าน และทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย ทำให้เซลล์ในร่างกายไม่เสื่อมสภาพเร็ว ผิวพรรณแลดูสดใส และอ่อนกว่าวัย
4. วิตามินซีทำหน้าที่ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายให้ง่ายขึ้น โดยทำหน้าที่รีดิวซ์เหล็กในรูปเฟอร์ริก (Fe+3) เปลี่ยนเป็นเหล็กในรูปเฟอร์รัส (Fe+2) ที่สามารถดูดซึมผ่านลำไส้ได้ มีผลช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
5. ทำหน้าที่ถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้แก่เซลล์ตับในกระบวนการการสร้างน้ำดี และกระบวนการทางเคมีของเซลล์ตับอื่นๆ จึงเป็นสารที่ช่วยบำรุงตับได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันโรคตับ และลดวามเป็นพิษจากสารเคมีที่อาจเกิดต่อตับ
6. วิตามินซีเป็นสารต้านพิษ Nitrosamin ที่เป็นสารสำคัญทำให้เกิดพิษแก่ตับ ไต และเป็นสารก่อมะเร็ง โดยทำหน้าที่เข้าจับกับไนไตรท์ (2HNO2) ทำให้ลดปริมาณการเปลี่ยนไนไตรท์ เป็นสารประกอบ Nitrosamin ที่เป็นพิษ
7. วิตามินซีทำหน้าที่สลายสารพิษต่างๆในร่างกาย โดยเป็นสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์ที่เป็นสาเหตุการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย และให้อิเล็กตรอนแก่อนุมูลอิสระในร่างกายเปลี่ยนเป็นสารอื่นที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้ง่ายขึ้น
8. วิตามินซีทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยช่วยกระตุ้นเซลล์ปลดปล่อยสารสำคัญสำหรับป้องกันเชื้อโรคในร่างกาย และเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอม และเชื้อโรคต่างๆ
9. ป้องกันการเกิดโรคลักปิดลักเปิดที่มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตามไรฟัน เนื่องจากการขาดวิตามินซีทำการสังเคราะห์คอลาเจนลดลง ทำให้หลอดเลือดฝอยไม่แข็งแรง และแตกง่าย การเกิดโรคลักปิดลักเปิดที่ทำให้เลือดออกตามไรฟัน มักพบเหงือกบวมอักเสบ เหงือกมีสีเขียวคล้ำ และเลือดออกง่าย หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย จะพบเหงือกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น ฟันโยกหลุดง่าย มีเลือดเลือดออกที่ผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ หรือเป็นปื้นใหญ่ ผู้ป่วยที่เป็นมากจะมีเลือดออกในกล้ามเนื้อเยื่อบุตา อวัยวะทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ เยื่อบุช่องท้อง ถุงเยื่อหุ้มหัวใจ เยื่อหุ้มกระดูก เป็นต้น
10. วิตามินซีช่วยกระตุ้นการผลิตคอลาเจนที่เป็นส่วนสำคัญในการรักษา และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เป็นแผล ทั้งแผลที่เกิดจากการผ่าตัด แผลจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดใหม่หรือเกิดแผลที่ร่างกายมักจะให้อาหารเสริมจำพวกวิตามินซีร่วมด้วย
11. วิตามินซีช่วยรักษาอาการเป็นหวัด
ข้อแนะนำ 1. การเก็บรักษาผลิตภัณฑ์วิตามินซี ควรเก็บในขวดทึบแสง และเก็บไว้ในที่เย็น ห้ามถูกแสงแดด ความร้อน และสัมผัสกับสารละลายด่าง 2. การรับประทานอาหารเสริมวิตามินซี ควรรับประทานพร้อมอาหารอาหารหรือหลังอาหารเพื่อให้เกิดการดูดซึมไปพร้อมกับอาหาร และลดการระคายเคืองจากความเป็นกรดของวิตามินซี ซึ่งจะถูกดูดซึมหลังรับประทานประมาณ 2-3 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานก่อนอาหาร เพราะอาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ระคายเคือง เสี่ยงต่อการเกิดแผลได้ 3. การรับประทานวิตามินซีร่วมกับอาหารเสริมจำพวกธาตุเหล็กหรืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูงจะช่วยส่งเสริมการดูดซึมวิตามินซีที่ลำไส้ได้ดี 4. การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากอาจเกิดภาวะเลือดเป็นพิษจากภาวะเลือดเป็นกรดเพิ่มขึ้น 5. การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากอาจเพิ่มความเป็นกรดในประเพาะอาหารจนทำให้เกิดความระคายเคือง และเสี่ยงต่ออาการท้องร่วงได้